ความเข้มข้นของเลือด บางตำราเรียกว่า ปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่น ซึ่งเป็นการแปลตรงตัวตามวิธีการตรวจ น่าจะเป็นคำภาษาไทยที่ตรงที่สุดแต่ไม่ค่อยสื่อความหมาย จึงขออนุญาตใช้คำว่าความเข้มข้นของเลือดแทนนะครับ ภาษาอังกฤษคือ Hematocrit 2. ปริมาณฮีโมลโกลบิน (Hemoglobin) เป็นสารที่มีความสำคัญในการขนถ่ายออกซิเจนไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย 3.
ปริมาณเกร็ดเลือด ปัจจุบันนี้สามารถนับได้ว่ามีกี่ตัวๆ ซึ่งจะรายงานเป็นตัวเลข เช่น 250, 000/cu mm ซึ่งจะบอกถึงความสามารถของการแข็งตัวของเลือดได้ บางแห่งก็จะรายงานเป็น เพียงพอ (Adequate), เพิ่มขึ้น (Increase), หรือลดลง (Decrease)ซึ่งที่รายงานแบบนี้เพราะเป็นการตรวจด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์ไม่ได้ตรวจด้วยเครื่อง 4.
วิธีตรวจด้วยการประมาณ เป็นวิธีที่ใช้หลักการเดียวกับวิธีที่1 แต่ตัดขั้นตอนที่ละเอียดและใช้เวลาลง โดยการ นำเลือดมาปั่นหาค่าความเข้มข้นของเลือด และดูจากสไลด์เท่านั้น ซึ่งปริมาณเม็ดเลือดขาวที่ได้ก็จะเป็นการกะประมาณ ค่าอื่นๆ เช่น ปริมาณฮีโมโกลบินก็ไม่สามารถตรวจได้ วิธีนี้มีข้อดีเพียงอย่างเดียวคือประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ไม่สามารถเป็นตัววินิจฉัยหรือคัดกรองได้ และมีโอกาสพลาดได้หากตรวจเป็นจำนวนมากๆ และยังไม่มีหลักฐานว่าเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ 3.
4 อีโอซิโนฟิล (Eosinophils) มีหน้าที่ทำลายสารพิษที่ทำให้เกิดอาการแพ้สารของร่างกาย เช่น โปรตีน ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ เป็นต้น และยังช่วยทำให้เลือดคงสภาพเป็นของเหลวอยู่ตลอดเวลาไม่แข็งตัว ปกติไม่ค่อยพบอาจจะพบได้ 1-2% จะพบมีค่าสูงได้บ่อยในภาวะภูมิแพ้ หรือมีพยาธิ 2. 5 เบโซฟิล (Basophils) มีหน้าที่สร้างสารเฮปาริน (Heparin) ซึ่งเป็นสารป้องกันมิให้เลือดในร่างกายแข็งตัว และ สร้างฮีสตามิน (Histamine) ช่วยขยายผนังของหลอดเลือด จะพบมีค่าสูงในภาวะภูมิต้านทานมีความไวต่อสิ่งกระตุ้น 3.