สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านมาวิเคราะห์เหรียญ ZIL เช็ค elliott Wave ปัจจุบัน เหรียญ zil เป็นเหรียญ อันดับที่ 115 ของ coinmarketcap ซึ่งมีมูลค่ากว่า 487ล้านดอลลาร์ ซึ่งเหรียญ zil ได้มีวอลลุ่มการซื้อขาย ในตลาดบิทครับเป็น อันดับที่ 2 ของวันนี้ รองจากเหรียญ iOSt วันนี้เรามาดูกันนะครับว่า ในปัจจุบันรูปแบบกราฟราคาจะเป็นอย่างไรไปรับชมกันเลยครับ source
8% (ถ้าเป้านั้นๆ เช่น 61. 8% รับไม่อยู่ เป้าต่อไปจะเป็น Square root ของเป้าก่อนหน้า Ex. 61. 8% => 78. 6% => 88. 6%) แล้วจาก A ไป B ลงมา C เท่ากับ 161. 8, 261. 8 ++ แล้วแต่ความแรงความ Panic sell ถ้าวัดจากฐาน 1 มายอด 5 ของการจบรอบใหญ่ Wave c มักจะลงลึกเท่ากับ 78. 6% จาก 5 ลงมาจบที่ C แล้วเด้งไปที่ 1 = 61. 8% (กรณีขึ้นรวดเดียวไม่ถึง ให้เอาก้านธง จาก 1 ย่อยกับ มากำหนด Target ได้) Wave 1 มา 2 ไม่ใช่ Correction ใหญ่ ปกติจะลงมาที่ 38. 2% แต่ส่วนมากไม่เกิน 50% Wave 1 จะไป 3 หรือ 5 อย่างต่ำต้องขึ้นไปอีก 161. 8 (127. 2 เป็นจุดพัก), ถ้า Bullish มากจะไปถึง 261. 8 และ 423. 6 ++ (Step การขึ้นจะทะลุ 61. 8 ขึ้นไปก่อนอย่างง่ายดาย ถึงจะไปที่ 161. 8 ได้ ถ้าติดที่ 100% จะเป็น Double top ซึ่งเเป็นกรณีที่กิดขึ้นได้ยาก) Wave 3 มา 4 Correction อาจลงมาถึง 61. 8% แต่ไม่เกิน 78. 6% Wave 4 ลงไม่ถึงยอด Wave 1 เสมอ ความกว้างของ Correction A-B-C ของ Wave 5(เก่า) ไม่ควรยาวกว่า Correction a-b-c ของ Wave 3(ใหม่) เมื่อราคาไปถึงตามเป้าหมายแล้วให้ใช้ Momentum oscillator ช่วย ก็จะเห็น Bearish Convergence/Divergence ประกอบกับการเกิด Reversal signal (Price pattern/Candle stick) เพื่อระบุจุดเปลี่ยนเทรน รายละเอียดเจาะลึกลงไปอีก เช่น sub wave 1–2 ของ wave 1 มักจะลงลึกที่ 78.
ในการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ก็มีราคาเป้าหมาย Fair Value ไว้ให้เราดู หรือถ้าเป็น Value Investor ตัวจริง ก็ถือยาวจนกว่าปัจจัยพื้นฐานของราคาหุ้นจะเปลี่ยน แต่ถ้าเป็น VVI (Very Value Investor) อย่าง Warren Buffet นี้ เขาบอกว่า ระยะเวลาการถือหุ้นซักตัวของเขาก็คือ "ตลอดกาล" แต่นักเทคนิค ไม่ต้องการอย่างนั้นครับ และตามหลักการ Elliott Wave Principle ก็เห็นชัดว่า หลักการนี้เชื่อว่า ราคาหุ้น มีขึ้นมีลง และเมื่อเรารู้ว่ามันจะลง แล้วเราจะถือมันไปเพื่ออะไร จริงไหม? การที่ราคาหุ้นจะมีเด้ง (Rebound) หรือปรับฐาน (Retrace) ให้เห็นนั้น การจะบอกว่าไปได้ถึงไหน โดยส่วนใหญ่จะใช้ Fibonacci Numbers มาจับกับหลักการ Elliott Wave ครับ Fibonacci Numbers คืออะไร? Fibonacci Numbers ถูกค้นพบโดยนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีที่ชื่อว่า "ลีโอนาโด ฟีโบนักชี" เขาได้สังเกต และศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ เช่น รูปแบบของฟ้าแลบ รูปแบบสัดส่วนของผลไม้ หรือรูปแบบของเปลือกหอยทาก เป็นต้น การศึกษาของเขาพบว่า การเกิดของ ปรากฏการณ์เหล่านี้มีรูปแบบที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยนำมาคิดเป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ คือ 1 1 2 3 5 8 13 21 34 55 89 ….
และต่อ ๆ ไป ซึ่งใช้วิธีการจัดเรียงตัวเลขจากการนำตัวเลขที่อยู่สองตัวข้างหน้าบวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นตัวเลขตัวถัดไป เช่น 1+1=2, 1+2=3, 2+3=5, 3+5=8 ไปเรื่อยๆ ความมหัศจรรย์ ของ Fibonacci อยู่ตรงนี้ครับ นั้นก็คือ ลำดับ Fibonacci จะมีอัตราส่วนจากการหารตัวเลขหลังด้วยตัวเลขหน้า แล้วได้ผลัพทธ์ใกล้เคียงกับ 1. 618 โดยเริ่มจากตัวเลขค่าที่สี่เป็นต้นไป เช่น 5 หารด้วย 3, 8 หารด้วย 5, 13 หารด้วย 8, 21 หารด้วย 13 (ลองกดเครื่องคิดเลขกันดูก็ได้ครับ) และเมื่อตัวเลขยิ่งเพิ่มมากขึ้น ผลัพธ์จากการหารตัวเลข 2 ตัว ก็ยิ่งเข้าใกล้อัตราส่วน 1. 618 นี้ก็ยิ่งมากขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนโบราณจึงเรียกชื่อตัวเลข 1. 618 นี้เป็นภาษากรีกโบราณว่า PHI (ฟี) หรือบางครั้งถึงกับเรียกว่า "อัตราส่วนทองคำ (Golden ratio)" แล้วเราเอา 1. 618 ตัวนี้มาทำอะไร? ก็ในเมื่อมันเป็นตัวเลขมหัศจรรย์ นักลงทุนในอดีตที่เชื่อว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ก็เป็นไปตามธรรมชาติ ดังนั้นการเด้ง (Rebound) หรือปรับฐาน (Retrace) ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น มันก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ Golden Ratio อยู่ ไม่มากก็น้อย เมื่อแปลงสัดส่วน Golden Ratio เป็นเปอร์เซ็นต์ เราก็จะได้ตัวเลขสำคัญๆบางตัว ดังนี้ 38.
2% 50% และ 61. 8% ของจุดสุงสุดของคลื่นลูกก่อนหน้ากับจุดต่ำสุด ของการปรับฐานที่เพิ่มจะเกิดขึ้น แต่หากราคาหุ้นสามารถทะลุผ่านจุดสุงสุดเดิมได้ ทำ Higher High (เหมือนตัวอย่างการเข้าสู่ Wave 3 ในช่วงต้นของบทความ) ราคาเป้าหมาย ก็คือ 161. 8% หรือหากเป็นคลื่นที่แรงจริงๆ ก็สามารถวิ่งขึ้นได้ถึง 423. 6% ทีเดียว อ่านมาถึงตรงนี้ ผมยอมรับว่าเงื่อนไข และการใช้ Elliott Wave นั้นถือว่าเยอะและยากพอสมควร หลักการที่ผมเขียนถึงในบทความ เป็นหลักการอย่างง่าย (นี้ง่ายแล้วนะ ฮาๆ) แต่ข้อดีของหลักการ Elliott Wave ก็คือ จุดเข้าซื้อตามหลักการ มีไม่มาก และเป็นช่วงกรอบแคบๆ หากผู้ใช้ มีความขำนาญ และมีประสบการณ์ ความแม่นยำของมันจะสูงมากนะครับ ปล. ใครที่ไม่เชื่อการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบนี้ หรือมองว่ายากเกินจะเข้าใจ แนะนำให้กลับไปดู Fundamental Analysis น่าจะดีกว่ามานั่งเถียงกันว่า อะไรดี อะไรไม่ดี เพราะ การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว สิ่งที่เราต้องการก็คือ กำไรจากการลงทุน แต่วิธีการให้ได้มันมา มันย่อมแตกต่างกันไปตามจริตนิสัยและ ความถนัดของแต่ละคนนะครับ 🙂